เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๖ พ.ย. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ธรรมะคือสัจธรรม สัจธรรมเป็นแก่นของชีวิต เป็นแก่นของจักรวาล เป็นแก่นของโลก แก่นของจักรวาล เห็นไหม กามภพ รูปภพ อรูปภพ ใครเป็นคนไปเกิด แก่นของโลก โลกมีแกนของโลก แกนของโลก โลกมันหมุนไป โลกเป็นสมมุติไง แต่จิตมันสำคัญมากกว่า ความรู้สึกของคนสำคัญมากเลย เพราะความรู้สึกของคนเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพราะเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะโดยที่อวิชชาปิดหัวใจไว้ ปิดดวงตาใจไว้ พอปิดดวงตาใจถึงไม่รู้ ถึงได้เวียนว่ายตายเกิดไง แต่เพราะคนเรามีความปรารถนาทำคุณงามความดี

คุณงามความดี คนเรามีแรงปรารถนาทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดี มนุษย์สมบัติ ถึงได้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ อวิชชา อวิชชาความไม่รู้มันมืดบอด มันมืดบอดนะ สิ่งใดที่มันพอใจ นั่นล่ะคือตัณหาความทะยานอยาก คือกิเลส กิเลสมันปิดหูปิดตา ปิดหูปิดตาให้เวียนว่ายตายเกิด ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง แก่นของชีวิตไง นี่แก่นของชีวิต

เกิดมาแล้ว จะมั่งมีศรีสุข ทุกข์จนเข็ญใจเหมือนกัน ทุกข์จนเข็ญใจมันก็มีความทุกข์เหมือนกัน จะร่ำรวยสุขขนาดไหนมันก็เศร้าหมอง เห็นไหม ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ ในการเลี้ยงอาหารกัน กำลังรื่นเริงอยู่นั่นน่ะ แต่ทุกดวงใจว้าเหว่ เพราะมันต้องกลับบ้านไง มันต้องกลับไปสุมไฟสุมขอนในใจนั้นไง ถ้าไฟสุมขอนในใจ ถ้าคนไม่เข้าใจ คนไม่เคยเจอภัยพิบัติ คนมันก็ไม่รู้ว่าภัยพิบัติมันจะเกิดรุนแรงขนาดไหน คนอยู่ริมชายทะเล คนอยู่ที่ฤดูมรสุมมันพัดขึ้นมา มันพัดบ้านเรือนพังไปหมด เขาต้องพยายามซ่อมแซมดูแลรักษาบ้านเรือนของเขา เพราะคลื่นลมมันแรง มันซัดมาตลอด

เวลาแผ่นดินไหว ดูสิ เด็กญี่ปุ่นมันจะฝึก มันจะรู้เลย พอเขากดกริ่ง เขาเตือนภัย มันจะมุดเข้าใต้โต๊ะเรียนหนังสือมันเลยล่ะ เพราะเขาฝึกมันไว้ เห็นไหม คนถ้าไม่เคยเจอภัยพิบัติ มันไม่รู้ว่าภัยพิบัติมันจะให้ผลรุนแรงขนาดไหน ทรัพย์สมบัติทั้งหมดจะล่มสลาย ชีวิตต้องตาย นี่คนเห็นภัยพิบัติ ถ้าเห็นภัยพิบัติ เขาพยายามจะฝึกฝน เขาพยายามจะดูแลรักษากัน

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราฟังธรรมๆ เรื่องของชีวิตไง เรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันรุนแรงมาก มันรุนแรง รุนแรงจนคนถึงกับฆ่ากัน แย่งชิงกัน เพราะอะไร เพราะว่าทิฏฐิมานะในหัวใจ ถ้าในหัวใจ ถ้าเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาธรรมะเพื่อเหตุใด

ให้คิดถึงคนอื่นก่อน ให้คิดถึงจิตสาธารณะ ดูสิ พ่อแม่คิดถึงลูก พ่อแม่ ดูญาติพี่น้องคิดถึงญาติพี่น้องของเรา อยากให้ญาติพี่น้องของเราอยู่ร่มเย็นเป็นสุข ถ้าญาติพี่น้องในครอบครัวอยู่ร่มเย็นเป็นสุข เรามีความสุขไหม ถ้าครอบครัวของเรามันมีแต่ความกระทบกระเทือนกัน ครอบครัวของเรา ญาติพี่น้องของเรามาเจอหน้ากันทีไรก็บ่นแต่ความทุกข์ๆ ให้เราฟัง เรามีความสุขไหม นี่ไง ถ้าทุกคนมีความสุขแล้วเราก็มีความสุขด้วย แต่ถ้าเราจะมีความสุขๆ เราคิดว่าเราจะทำของเรา เราจะค้นคว้าของเรา จะทำของเรา แล้วไม่ดูสิ่งสภาวะรอบข้างเลย มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ เห็นไหม ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุข สมณะชีพราหมณ์ได้มีโอกาสประพฤติปฏิบัติ นี่ถ้ามีโอกาส

แต่ถ้าคน เวลาคนมันตื่นไฟ ดูสิ มันตื่นไฟ มันมีสิ่งใดมันตื่นตูม ถ้ามันตื่นตูมมันก็ทำให้วุ่นวายไปหมด เวลาเกิดภัยพิบัติ ใครมีสติปัญญา ใครมีสติปัญญาจะเอาตัวรอดได้ ใครมีสติปัญญานะ ถึงมันจะรุนแรงก็ทำให้มันเบาบางลงได้ ถ้ามันรุนแรง เราก็รักษาด้วยสติ ด้วยสติด้วยปัญญาของเรา พากันหลบพากันหลีกเพื่อเอาชีวิตนี้รอด นี่ไง สัจธรรมๆ เราว่าสัจธรรม เราเข้าใจสัจธรรม เราก็ตื่น จะเอาจริงเอาจัง

เอาจริงเอาจังมันจริงจังภายใน เห็นไหม เวลาคน วัตรปฏิบัติของเขา เขามีสติปัญญาของเขา ที่อยู่ของสมณะชีพราหมณ์เขาต้องการความสงบความสงัด เราไปในวัดในวา เราต้องเคารพสถานที่

สถานที่ต้องไปเคารพมันทำไม มันก็อิฐปูนหินทราย อิฐปูนหินทรายมันก็มีอยู่ทั่วโลก ใครเหยียบอยู่นี่ก็อิฐทรายหินปูน ต้องไปเคารพมันทำไม สถานที่ เคารพมันทำไม

สถานที่ บ้านเรือนของเรามันก็อิฐปูนหินทรายเหมือนกัน แต่เพราะเราทุศีล เพราะศีลเราไม่สะอาดบริสุทธิ์ เพราะที่อยู่ของเราอยู่กันแบบโลก มันก็เหมือนอยู่กันแบบฟืนแบบไฟ มันก็เผาลนไง

ที่อยู่ของสมณะชีพราหมณ์มันก็อิฐปูนหินทรายเหมือนกัน แต่เขามีศีลมีสัตย์ของเขา ถ้าเขามีศีลมีสัตย์ของเขา ดูสิ เวลาก่อนเข้าพรรษา พระเข้าพรรษาเขาก็อธิษฐานธุดงค์ของเขา ใครจะมีกติกาหักห้ามหัวใจอย่างไรบ้าง เขาก็อยู่อิฐปูนหินทรายเหมือนกัน แต่เขามีศีลมีธรรม ถ้ามีศีลมีธรรม สถานที่นั้นเป็นสถานที่ของผู้มีศีลผู้มีสัตย์เขาอยู่กัน ถ้าสถานที่ผู้มีศีลมีสัตย์ เราเข้าไป เราควรจะสงวนกิริยาของเรา เราอย่าทำให้มันกระทบกระเทือนเขา เรามาทำบุญๆ ทำบุญๆ เพื่ออะไร? ทำบุญเพื่อบุญของเรา แล้วกระทบกระเทือนเขาไหม ถ้ากระทบกระเทือน “ก็มาทำบุญน่ะ ก็มาทำบุญน่ะ”

บุญมันคือความสุขของใจ อยู่ที่ไหนก็ทำได้ เวลาอยู่บ้านอยู่เรือนของเรา เราเข้าห้องพระของเรา เราก็ทำสำรวมระวังของเรา เรากำหนดพุทโธของเรา นี่บุญกิริยาวัตถุ เราจะนอนตีแปลงอย่างไรก็ได้ เราจะอยู่ความสุขอย่างไรก็ได้ ทำไมเราต้องนั่งขัดสมาธิ เราต้องมากำหนดพุทโธ ทำไมเราต้องมานั่งบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เราบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุญกิริยาวัตถุ เราบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย บุญที่ไหนมันก็ทำได้ ถ้าทำบุญ แต่ถ้าจะทำให้หูตาสว่าง ถ้าหูตาสว่าง ทำไมต้องมีสัปปายะ ๔ หมู่คณะเป็นสัปปายะนะ เราไปที่ไหนก็แล้วแต่ ความรู้เราเหมือนกัน ความเห็นเราเหมือนกัน เราคุยกันเข้าใจได้ง่าย นี่หมู่คณะเป็นสัปปายะ

อาหารเป็นสัปปายะ อาหารที่ได้กินแล้ว อาหารที่ได้ฉันแล้ว อาหารที่ได้ทานแล้ว ทานแล้วไปนั่งสมาธิแล้วมันตื่นตัว นี่อาหารเป็นสัปปายะ ไม่ใช่อาหารเป็นสัปปายะ กินอร่อย กินอิ่มนอนอุ่น อาหารเป็นสัปปายะ ไอ้นั่นมันหมู เขาไว้เลี้ยงหมู พอถึงเวลาแล้วเขาจะเชือด

แต่เราเป็นนักบวช เราเป็นนักปฏิบัติ เรากิน เราฉันก็เพื่อดำรงชีวิตเท่านั้นแหละ นี่เป็นสัปปายะ พอสัปปายะ เดี๋ยวไปนั่งสมาธิแล้ว ไปทำความเพียรแล้วมันไม่โงกไม่ง่วง นั่งสมาธิแล้วมันไม่เกิดโรคภัยไข้เจ็บ นี่อาหารเป็นสัปปายะ

หมู่คณะเป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ ถ้าเป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะท่านพยายามจะชี้นำ ท่านพยายามจะเป็นตัวอย่างแบบอย่างชักนำให้เราขึ้นไป จิตใจที่สูงกว่าดึงจิตใจที่ต่ำกว่าขึ้นมา ไอ้จิตใจที่ต่ำกว่านะ โอ๋ย! นู่นก็ดี นี่ก็ดี นู่นสุดยอดไปหมดเลย แล้วครูบาอาจารย์บอกว่าละมันๆ ละมันได้อย่างไร ก็ของมันดีๆ ทั้งนั้นไปละมันได้อย่างไรล่ะ ก็ของมันดีๆ ทั้งนั้นมันถึงได้พะรุงพะรังอยู่ในหัวใจไง แล้วเวลามันทุกข์มันยากในหัวใจมันดีไหมล่ะ

ที่เราประพฤติปฏิบัติกัน อัตตสมบัติ สมบัติในหัวใจ ถ้าสมบัติในหัวใจมันปล่อยมันวางของมันได้ มันปล่อยวางอย่างไรล่ะ มันปล่อยวางก็บอกให้มันปล่อยใช่ไหม ถือของอยู่ ปล่อย มันก็ปล่อย แต่เวลามันทุกข์มันยากมันไม่ปล่อยหรอก มันมีแต่ความทุกข์ความยากอยู่นั่นน่ะ มันยิ่งคิดยิ่งตอกย้ำ ทำไมคนอื่นเขาทำแล้วได้ดี ทำไมเราทำไม่ดี ทำไมคนอื่นเขาดีไปหมดเลย ทำไมเราทุกข์อยู่นั่นน่ะ ทำไมมันไม่ปล่อยล่ะ นี่ไง ก็บอกให้มันปล่อยวาง ก็เห็น ก็มันดีไง ก็มันดี นี่ติดดีและติดชั่ว

ถ้าเป็นสัจธรรมความจริงของเรา ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ สถานที่เป็นสัปปายะมันก็ต้องมีความสงบสงัด เวลาเราจะเอาความจริงของเรา อัตตสมบัติ อัตตสมบัตินะ สิ่งที่เป็นวัตถุ ข้าวของเงินทอง สิ่งที่เป็นอาหาร โยมขวนขวายหามาด้วยน้ำพักน้ำแรง ขวนขวายหามา ได้ ๕ ได้ ๑๐ มาถวายผู้ทรงศีล ได้ ๕ ได้ ๑๐ มาถวายพระ แล้วพระฉันอาหารของเขาแล้ว เขาถวายพระ แล้วมีผลบุญอะไรให้เขาล่ะ ฉันอาหารของเขาแล้ว เราทำความเพียรไหม เรานั่งสมาธิภาวนาไหม เราทำเพื่อประโยชน์กับเขาไหม ของเขาจะมีประโยชน์ขึ้นมาไหม

เราส่งเสริมกันในปัจจุบันนี้ เราพยายามส่งเสริมกันนะ เด็กยากไร้ เด็กต่างๆ ให้มีการศึกษา ให้ต่างๆ ให้เขามีอาชีพของเขาได้ เราส่งเสริมเขาตลอด แม้แต่เด็ก แม้แต่ทางโลกเขายังส่งเสริมกันเลย แล้วเราไปวัดไปวา เราส่งเสริมไหม ถ้าเราส่งเสริม ไปวัดแล้วเราอย่าไปกระทบกระเทือนในวัดนั้น เราพยายาม

ถ้าวัดไหนทางโลกเขามีมหรสพสมโภช อันนั้นมันเป็นประเพณี ประเพณีเราก็ไปครึกครื้นกับเขา แต่ถ้าวัดปฏิบัติเขาไม่มีอย่างนั้นหรอก เขาไม่ทำกันอย่างนั้น ถ้าวัดปฏิบัตินะ เขาจะเอาความสงบจากภายนอก นี่สถานที่เป็นสัปปายะ สถานที่สงบสงัด สมณะชีพราหมณ์ถึงได้มีโอกาสปฏิบัติ ถ้าเขาจะมีโอกาสปฏิบัติ เสียงนั้นกระทบไปหมด เสียงที่เข้ามากระทบไปทั้งนั้น แล้วเสียง เห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ถ้าคนประพฤติปฏิบัติได้ รูป รส กลิ่น เสียงสักแต่ว่ารูป รส กลิ่น เสียง แต่มันก็รำคาญ มันรำคาญ

ดูสิ เวลาหมา ท้าวโฆสกเขาเป็นสุนัขนะ เวลาเขาไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันที่บ้าน ถึงเวลาก็ไปเห่า ถึงเวลาก็ไปคาบมา ไปดึงมา มาฉัน ด้วยความผูกพัน ด้วยความเคารพบูชามาก เวลาออกพรรษาแล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าจะออกธุดงค์ไป มันรักมันผูกพันของมัน มันหอนจนมันตายเลยล่ะ พอมันตายไป ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นเทวดาที่เสียงเพราะที่สุดเลย เขาเรียกชื่อว่าท้าวโฆสก

ฉะนั้น เวลาทับศัพท์มาเป็นปัจจุบันนี้ เขาว่าโฆษกๆ เขาจะเสียงเพราะไง เสียงเพราะ นั่นเสียงหมานะ โฆษกๆ เสียงหมา แต่หมานี้มีคุณธรรม มันไปเกิดเป็นเทวดาแล้วเสียงมันเพราะมาก เพราะมันใช้เสียงมันทำประโยชน์ไง

แต่ถ้าเราไปกระทบกระเทือน เสียงเราไปกระทบกระเทือนมันจะเป็นประโยชน์ไหม เขาจะทำคุณงามความดีกัน เขาจะทำต่างๆ กัน เราไปกระทบกระเทือนเขามันเป็นประโยชน์ไหม ทั้งๆ ที่เราทำบุญๆ นี่แหละ ทำบุญก็คือทำบุญ แต่บุญมันต้องต่อเนื่องกันไป มันกิริยาไง เห็นไหม ไม่ตื่นไฟ ถ้าคนที่เขาไม่ทำเลย เขาไม่สนใจเลย เขาก็ไม่รู้เลยนะว่าอยู่บนโลกมันจะมีภัยพิบัติ ถึงเวลาแล้วนะ มันเกิดแผ่นดินไหว เกิดวาตภัย เกิดต่างๆ โลกนี้มันมี อยู่ในประเทศอันสมควร เราอยู่ในประเทศที่รอยเลื่อนน้อย หรือไม่มีรอยเลื่อนเขาก็อยู่สุขสบาย ประเทศอยู่ที่รอยเลื่อนนะ เขารอจังหวะเลย กี่สิบปีมันจะไหวเสียทีหนึ่ง นี่เราอยู่บนภัยพิบัติเลย เราอยู่กับโลกที่มันเป็นอนิจจัง มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เห็นไหม ถ้ามันมีภัยพิบัติ เราก็ฝึกของเรา เราก็ฝนของเรา แต่ถ้าเราฝึกฝนแล้วเราก็มีสติ ถ้ามันเกิดขึ้นเราก็มีสติ เราก็ไม่ตื่น

นี่เวลามันเกิดขึ้นมาแล้วเราก็ตื่น ตื่นจนเราควบคุมตัวเองไม่ได้ เราจะต้องหลบภัย ไม่ใช่วิ่งเข้าไปหาภัย นี่ก็เหมือนกัน เราทำบุญของเราๆ เราจะไปตื่น เราจะไปเอะอะมะเทิ่ง ไม่มีประโยชน์หรอก มันไม่เป็นประโยชน์หรอก แต่ถ้าเราเป็นผู้ที่มีสติมีปัญญา เกิดภัยพิบัติขึ้นมามันมีสติ มันยับยั้ง นี่ก็เหมือนกัน เราจะไปที่ไหนเราก็ยับยั้งของเรา เราก็สำรวมระวังของเรา อยู่ในใจของเรา ทำไมต้องสำรวมระวังด้วยล่ะ

เวลาคนเขาเจ็บไข้ได้ป่วยนะ เขาไปหาหมอ หมอเขาบอกว่าอันนี้ก็กินไม่ได้นะ อันนี้ก็กินไม่ได้นะ มันแสลงกับโรคนะ อันนู้นก็ทำให้โรครักษาไม่หายนะ อยากหายไหมล่ะ อยากหายไหม

นี่ก็เหมือนกัน ทำไมต้องสำรวมระวังล่ะ ก็สำรวมระวังเพราะหัวใจของเราไง สำรวมระวังเพราะจิตใจของเราไง ถ้าจิตใจของเรามันสำรวมระวังนะ หลวงตาท่านสอนว่า โค ควายเวลาเขาเลี้ยง เขาเลี้ยงไว้ ถ้าโคมันผูกไว้ ถึงเวลาจะใช้จะสอยก็ไปจับมันมา แกะเชือกก็เอาไปใช้สอยได้ โค ควายที่เขาเลี้ยงปล่อย เขาเลี้ยงในป่า โบราณเขาเลี้ยงไว้ในป่านะ เวลาจะใช้สอยมันต้องไปตามหามันนะ มันอยู่ไหน อยู่ในป่ามันกว้างขวาง มันอยู่ไหน ต้องไปตามหามันนะ กว่าจะไปเจอมันแล้วต้องทำความคุ้นเคยกับมันนะ เดี๋ยวมันจำไม่ได้ มันขวิดเอาอีกนะ แล้วก็พามันกลับบ้านมาเพื่อใช้งาน

สำรวมระวังก็ตรงนี้ไง โค ควายของเรา เราผูกไว้ เราผูกหัวใจของเราไว้ มันมีอะไรเราไม่เป็นเหยื่อของโลก ไม่เป็นเหยื่อของสังคม ไม่เป็นเหยื่อของแชร์ลูกโซ่ คนนู้นก็จะมาชักนำไป คนนี้ก็จะมาชักนำไป ถ้าเรามีเงินมีทองเขาก็ชักนำไปเป็นประโยชน์กับเขา ถ้าไม่มีเงินทองเขาก็ไม่สนใจ เขาไม่มามองหรอก เห็นไหม ดูพระสิ ถ้าทุกข์จนเข็ญใจ อดีตชาติไม่เคยเป็นอะไรกันหรอก โอ๋ย! ถ้ารวยๆ นะ โอ้โฮ! อดีตชาติเรามีความสัมพันธ์กันเนาะ อดีตชาติ อดีตชาติต้องมีทันที...มันไปหมดแหละ

อดีตชาติมันก็เป็นอดีตชาติแล้ว มันเป็นประโยชน์อะไรกับปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้เราก็เป็นพระ ปัจจุบันนี้เราเกิดมาเป็นคน ปัจจุบันนี้เราก็เกิดมาปัจจุบันของเรา ต่างคนต่างทำคุณงามความดีของเรา ต่างคนต่างขวนขวายหัวใจของเรา ต่างคนเพื่อประโยชน์กับเราไง นี่ประโยชน์กับเรา ไม่ตื่นเต้นไปกับเขา

ฟังธรรมๆ ฟังธรรมตั้งแต่เรื่องของบุญกุศล เรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของภาวนา เรื่องของสติ เรื่องของปัญญา ปัญญาจะเกิดกับเรานะ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเท่านั้นเอาใจของตนไว้ในอำนาจของตน ตนเท่านั้นจะเกิดมรรคญาณ ตนเท่านั้นที่จะเกิดปัญญาญาณที่ชำระหัวใจของเรา ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ให้มันพ้นจากกรรมอันนี้ได้ ฟังธรรมๆ เพื่อสติปัญญาให้หัวใจดวงนี้มันเบิกบาน เอวัง